วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559

กาฬกัณณิชาดก>>>มิตรแท้

มิตรแท้


ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภมิตรของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีชื่อกาฬกรรณี เรื่องมีอยู่ว่า...

ทราบว่า มิตรของท่านเศรษฐีผู้นี้ เคยเป็นสหายร่วมเล่นฝุ่นและร่วมสำนักเรียนอาจารย์คนเดียวกัน ต่อมาเขาตกทุกข์ได้ยาก จึงมาหาเศรษฐีช่วยทำกิจการงานต่าง ๆ ที่จะทำได้ แต่ชื่อของเขาได้สร้างความไม่สบายใจแก่หมู่ญาติของท่านเศรษฐี พวกเขาจึงเข้าไปพบท่านเศรษฐีและขอร้องให้ส่งนายกาฬกรรณีหนีไปเสีย

ท่านเศรษฐีจึงบอกว่า " หมู่บัณฑิต มิได้ถือชื่อเป็นประมาณ เราไม่อาจอาศัยเหตุเพียงชื่อแล้วทิ้งเพื่อนผู้เล่นฝุ่นมาด้วยกันได้ "

วันหนึ่ง อนาถบิณฑิกเศรษฐีไปบ้านส่วยของตน ได้มอบหมายให้นายกาฬกรรณีเป็นผู้แลรักษาเคหะสถาน (รปภ.) พวกโจรคบคิดกันว่า " เศรษฐีไม่อยู่ พวกเราจะปล้นบ้านของเขา "

ต่างพากันถืออาวุธไปล้อมเรือนของเศรษฐีไว้ในเวลากลางคืน ฝ่ายนายกาฬกรรณี ระแวงอยู่ว่าโจรจะปล้น จึงนั่งเฝ้าไม่ยอมหลับนอน ครั้นเห็นว่าพวกโจรจะมา ก็ปลุกผู้คนด้วยการให้ประโคมดนตรีเหมือนมีมหรสพโรงใหญ่ บรรเลงตลอดทั้งคืน จนรุ่งแจ้งพวกโจรไม่มีโอกาสเข้าปล้นจึงทิ้งอาวุธไว้แล้วหลบหนีไป

รุ่งขึ้น ผู้คนเห็นก้อนดินและไม้พลองเป็นต้น จึงได้ทราบเหตุการณ์ ต่างพากันยอมรับในความสามารถของนายกาฬกรรณี พอเศรษฐีกลับมาก็บอกเรื่องนั้นให้ฟังทุกประการ

เศรษฐีได้ทีจึงพูดว่า " เห็นไหม ถ้าเราไล่เพื่อนของเราตามคำของพวกท่าน ทรัพย์สินของเราคงสูญสิ้นไปมิใช่น้อยในวันนี้ ธรรมดาชื่อไม่เป็นประมาณ จิตที่เกื้อกูลเท่านั้นเป็นประมาณ "

แล้วให้ทุนทรัพย์แก่มิตรเพิ่มขึ้นอีก ได้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า แล้วได้กล่าวคาถานี้ว่า
     " บุคคลชื่อว่าเป็นมิตร ด้วยการเดินร่วมกัน ๗ ก้าว ชื่อว่าเป็นสหาย ด้วยการเดินร่วมกัน
       ๑๒ ก้าว และชื่อว่าเป็นญาติ ด้วยการอยู่ร่วมกันเดือนหนึ่งหรือครึ่งเดือน ส่วนผู้ชื่อว่า
       มีตนเสมอกัน ก็ด้วยการอยู่ร่วมกันยิ่งกว่านั้น เราจะละทิ้งมิตรชื่อว่ากาฬกัณณี
       ผู้ชอบพอกันมานาน เพราะความสุขส่วนตัวได้อย่างไร "

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...
คบคนอย่าคบเพียงชื่อ จิตใจสำคัญที่สุด

อ้างอิง

มูสิชาดก>>>หนูถูกหลอก

หนูถูกหลอก


 ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้หลอกลวงรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...

   กาลครั้งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นหนู มีตัวโตขนาดลูกหมู มีบริวาร ๕๐๐ ตัว อาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง มีหมาจิ้งจอกตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ใกล้กับที่อยู่ของหนู คิดจะลวงกินหนู ในวันหนึ่ง มันจึงทำทียืนด้วยขาข้างเดียว อ้าปาก แหงนมอง จ้องดูดวงอาทิตย์อยู่

   หนูพระโพธิสัตว์ เห็นมันแล้วคิดว่า " หมาจิ้งจอกตัวนี้คงจะเป็นผู้ทรงศีล " จึงเดินเข้าไปใกล้ไต่ถามดูว่า "ท่านชื่ออะไร ? " หมาจิ้งจอกตอบว่า " เราชื่อธรรมิกะ (ผู้ทรงธรรม)"
หนู " ทำไมท่านยืนเท้าเดียว ไม่ยืนทั้ง ๔ เท้า ? "
หมาจิ้งจอก " ถ้าเรายืน ๔ เท้า แผ่นดินจะไหว จึงยืนเท้าเดียว "
หนู " ทำไมท่านยืนอ้าปาก ? "
หมาจิ้งจอก " เราไม่กินอย่างอื่น กินลมเป็นอาหาร"
หนู " ทำไมท่านจ้องดูดวงอาทิตย์ ? "
หมาจิ้งจอก " เรานอบน้อมพระอาทิตย์ "

   หนูเชื่อว่าหมาจิ้งจอกว่าเป็นผู้ทรงศีล จึงพากันบำรุงมันอยู่ ฝ่ายหมาจิ้งจอกก็จับหนูตัวสุดท้ายกินเป็นอาหารทุกวัน กินเสร็จก็เช็ดปากยืนต่อ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนหนูลดน้อยลง

   วันหนึ่ง หนูโพธิสัตว์คิดจะตรวจดูว่าหนูบริวารหายไปไหน จึงไปบำรุงหมาจิ้งจอกเป็นตัวสุดท้าย พอได้โอกาสหมาจิ้งจอกก็จับหนูโพธิสัตว์ไว้เพื่อจะกิน หนูรู้เรื่องราวทั้งปวง จึงกล่าวคาถาว่า
   " ผู้ใด กล่าวเชิดชูธรรมให้เป็นธงชัย
     ล่อลวง ให้สัตว์ทั้งหลายตายใจแล้วซ่อนตนประพฤติชั่ว
     ความประพฤติของผู้นั้น ชื่อว่า เป็นความประพฤติของแมว "

   หนูพูดพลางก็กระโดดเกาะคอหมาจิ้งจอกกัดที่ซอกคอมันตายทันที ฝูงหนูได้กลับมากัดกินหมาจิ้งจอกเป็นอาหาร และอยู่สุขสบายสืบมา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...
เล่ห์เหลี่ยมของคนมีมาก ก่อนจะเชื่อใครควรศึกษาให้ถ่องแท้

อ้างอิง